เนื้อหา |
---|
การทำบัญชีครัวเรือน

ประวัติความเป็นมาของบัญชีครัวเรือน
การบัญชีเป็นภาษาทางธุรกิจ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องเรียนรู้ภาษานี้เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบของเหตุการณ์ทาง เศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจตามปกติในทุกๆ วัน โดยศัพท์ทางบัญชีจะเป็นลักษณะเฉพาะมากขึ้นเมื่อใช้ในการบัญชี ดังเช่นเราจะได้ยินคำศัพท์ เช่น สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ รายได้ ค่าใช้จ่าย และกำไรขาดทุน เป็นต้น การบัญชีจึงเป็นกิจกรรมของการให้บริการซึ่งจะทำหน้าที่ในการจัดเตรียมข้อมูลเชิงปริมาณที่เกี่ยวข้องกับรายการทางเศรษฐกิจเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ
วิวัฒนาการบัญชี
การบันทึกข้อมูลทางการบัญชีได้ทำกันมานานแล้ว ไม่น้อยกว่า 5 พันปี โดย จากหลักฐาน ที่ปรากฏการจดบันทึกข้อมูลและการจดบันทึกข้อมูลบนแผ่นดินเหนียว มีวิวัฒนาการที่น่าสนใจ คือ
1. สมัยอียิปต์ มีการบันทึกข้อมูลทางบัญชี เกี่ยวกับข้อมูลต่างๆ ในท้องพระคลัง
2. สมัยบาปิโลน มีการบันทึกเกี่ยวกับเงินและทองคำที่ได้รับ โดยมีการระบุวันที่รับ ชื่อผู้รับ และชื่อผู้ให้
3. สมัยกรีก มีการพัฒนาปรับปรุงในเรื่องของข้อมูลในการรับและจ่ายประจำงวดตลอดจนการคำนวณหายอดคงเหลือ
4. ต้นงวดปลายงวด เพื่อต้องการทราบจำนวนทรัพย์สินมากกว่าที่จะเน้นในเรื่องการคำนวณผลกำไร
5. สมัยโรมัน มีการบันทึกทางการบัญชีเกขึ้น ในลักษณะของการบันทึก 2 ด้าน เหมือนกับหลักบัญชีคู่เพราะมีการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นว่ารับมากจากใคร และ จ่ายให้ใครเป็นจำนวนเท่าไหร่ พัฒนาการทางด้านบัญชี ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ การบัญชีแพร่หลายในยุโรปสมัยกลาง ของประวัติศาสตร์ก็เนื่องมาจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ และ ความจำเป็นของระบบขุนนาง หรือ ศักดินา ในขณะนั้น ในสมัยต่อมาเมื่อระบบเศรษฐกิจเป็นระบบคฤหาสน์ การบัญชีจำเป็นต้องขยายตัว ให้เยงพอกับความต้องการ และ ความจำเป็นของระบบนั้นด้วย ระบบบัญชีคู่เริ่มเกิดขึ้นในประเทศอิตาลี ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ก็เป็นผลเนื่องมาจากขยายตัวทางด้านการหัตถกรรมและพานิชยกรรม ความต้องการให้มีการบันทึกการจัดหมวดหมู่รายการตลอดจนการเสนอผลสรุปของการค้าที่ขยายตัวขึ้น ทำให้เกิดความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับปรุงวิธีการบัญชีให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าที่เป็นมาแต่ก่อน
การบัญชีในประเทศไทย
เริ่มมีตั้งแต่สมัยอยุธยาในช่วงปี พ.ศ. 2193 – 2231 ตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในสมัยนี้ประเทศไทยได้มีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศยุโรปคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และโปรตุเกสเป็นต้น บัญชีที่ถูกจัดทำขึ้นเป็นบัญชีแรก คือบัญชีเงินสด และได้ถือปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มจัดทำบัญชีเงินพระคลังเป็นหมวดหมู่ และวิชาการบัญชีก็ได้เริ่มมีการศึกษากัน เป็นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 เช่นกัน กล่าวคือในปี พ.ศ. 2482 พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดกล้า ให้บรรจุเรื่องการบัญชีเป็นสาขาหนึ่งใน 8 อย่างของชั้นประโยค 2 ซึ่งเป็นชั้นเรียนสูงสุดของการเรียนสมัยนั้น แต่เป็นเพียงการทำบัญชีเกี่ยวกับ การเงินเท่านั้น ยังไม่ใช่หลักการบัญชีคู่ที่แท้จริง ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ตรงกับสมัยราชกาลที่ 6 พระองค์ทรงโปรดคัดเลือกบุตรข้าราชการ ส่งไปเรียนด้านพาณิชย์และบัญชีที่ประเทศอังกฤษ ด้วยเหตุการณ์ข้างตันนี้ ทำให้การบัญชีของไทย สมัยนั้นเป็นแบบอังกฤษ นอกจากนั้นยังโปรดให้ตั้งโรงเรียนพาณิชยการขึ้น 2 แห่ง คือ โรงเรียนพาณิชยการวัดสามพระยา และโรงเรียนพาณิชยการวัดแก้วฟ้า โดยมีการสอนบัญชีคู่เป็นครั้งแรกในโรงเรียนดังกล่าวและมีบัญชีเพียง 3 เล่น คือ สมุดบัญชีเงินสด สมุดรายวัน และสมุดแยกประเภท ในปี พ.ศ. 2481 ได้จัดตั้งคณะพาณิชยศาสตร์ และ การบัญชีขึ้นในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ ในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลได้ออกกฎหมายพระราชบัญญัติบัญชีขึ้น ซึ่งมีจุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการคือ
1. เพื่อให้การจัดทำบัญชีของธุรกิจต่างๆ มีแนวทางแบบเดียวกัน.
2. เพื่อคุ้มครองประโยชน์และส่วนได้ส่วนเสียของผู้เกี่ยวข้อง
3. เพื่ออำนวยความสะดวกและเกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บ
